เลือก รองเท้าเซฟตี้ ให้เหมาะสม เพื่อลดการบาดเจ็บที่เท้า

          รองเท้าเซฟตี้แต่ละประเภทที่คุณพบเห็นถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับงานที่แตกต่างกัน ?  ไม่ว่าจะเป็นการทำงานก่อสร้าง การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม การทำงานในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่การใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างน้ำท่วม ซึ่งการเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้ที่ไม่เหมาะสม อาจนำพาอันตรายที่คาดไม่ถึงได้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายมากขึ้น เรามาดูไปพร้อมกันดีกว่าว่ารองเท้าเซฟตี้มีรูปแบบใดและเหมาะกับการนำไปใช้งานอย่างไร

ประเภทของรองเท้าเซฟตี้

          1. รองเท้าเซฟตี้พื้นฐานทั่วไป : มีทั้งในรูปแบบมีหัวเหล็กและไม่มีหัวเหล็ก มีคุณสมบัติที่ทนทานต่อการสึกหรอ ป้องกันการลื่น ป้องกันการกัดกร่อน ระบายอากาศได้ดี แต่หากมีหัวเหล็กเสริมมาก็จะเพิ่มการป้องกันการกระแทกของวัตถุตกหล่นที่ก่อให้อาการบาดเจ็บ เนื่องด้วยยุคสมัยที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ผลิตบางรายจึงได้เพิ่มคุณสมบัติของรองเท้าด้วยการเพิ่มความต้านทานการเจาะทะลุที่พื้นรองเท้าและทนการกัดกร่อนเข้าไปร่วมด้วยที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อเท้าในระหว่างปฏิบัติงานได้อีกขั้น นิยมใช้กับงานก่อสร้าง งานยกของ งานในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งควรประเมินจากความเสี่ยงของงานหากงานที่มีความเสี่ยงสูงควรเลือกแบบมีหัวเหล็กเสริม

 

           2. รองเท้าเซฟตี้งานไฟฟ้า : เป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่สำคัญสำหรับผู้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับกระแสไฟฟ้า ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าช็อต ที่นำไปสู่อาการบาดเจ็บสาหัสและการเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ทำงานในอุตสาหกรรมไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างเครื่องจักรไฟฟ้า หรืองานอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับไฟฟ้า โดยงตามหลักมาตราฐานรองเท้าเซฟตี้ของอเมริกา (ASTM) จะแบ่งประเภทของรองเท้ากันไฟฟ้าไว้ 4 ชนิด ได้แก่

  • รองเท้าเซฟตี้ชนิดต้านทานกระแสไฟฟ้า (EH) : พื้นรองเท้าทำจากวัสดุไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น หนังแท้ ยาง  มีคุณสมบัติทำหน้าที่เป็นฉนวนกั้นระหว่างเท้าของผู้สวมใส่กับพื้น โดยป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายไปยังพื้นดินได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่เท้าสัมผัสกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า รองเท้าจะทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานกระแสไฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลผ่านร่างกาย ช่วยป้องกันอันตรายจากการถูกไฟฟ้าช็อตหรือไฟฟ้าดูด

 

  • รองเท้าเซฟตี้ชนิดตัวนำประจุไฟฟ้า (CD) : มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าสถิต มักทำจากวัสดุที่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น คาร์บอน โดยวัสดุเหล่านี้จะนำไฟฟ้าสถิตสะสมอยู่บนร่างกายของผู้สวมใส่และไหลผ่านรองเท้าลงสู่พื้น นอกจากนี้ยังช่วยปล่อยประจุไฟฟ้าสถิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของประจุไฟฟ้าสถิตในปริมาณมากจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดประกายไฟและก่อให้เกิดการระเบิดหรือการลุกไหม้ได้ในพื้นที่ที่มีสารไวไฟ

 

  • รองเท้าเซฟตี้ชนิดสลายประจุไฟฟ้าสถิต (SD) : มีคุณสมบัติลดอันตรายจากไฟฟ้าสถิตที่เกิดกับผู้ที่สวมใส่ โดยรองเท้า SD จะมีค่าความต้านทานไฟฟ้าอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ ทำให้สามารถสลายประจุไฟฟ้าสถิตที่สะสมบนร่างกายลงสู่พื้นได้อย่างช้า ๆ และปลอดภัย ลดความเสี่ยงจะถูกไฟฟ้าช็อต

 

  • รองเท้าเซฟตี้ชนิดฉนวนกั้นกระแสไฟฟ้า (DI) : วัสดุที่ใช้ทำรองเท้า DI ส่วนใหญ่จะทำมาจากยางที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม ทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลผ่านรองเท้าไปยังร่างกายของผู้สวมใส่ได้ ป้องกันอันตรายจากการสัมผัสกระแสไฟฟ้าที่พื้นที่เป็นสายตัวนำไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ที่มีกระแสไฟฟ้า

 

           3. รองเท้าเซฟตี้ทนต่อสารเคมีและความร้อน : มักทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่มีความทนทานต่อสารเคมีและความร้อนสูง เช่น ยางไนไตรล์ พีวีซี หรือวัสดุผสมพิเศษที่เพิ่มคุณสมบัติการทนทาน การกัดกร่อนตามแต่ละผู้ผลิตคิดค้นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี เช่น กรด ด่าง น้ำมัน หรือความร้อนสูง อย่างโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานปิโตรเคมี หรือห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

 

            4. รองเท้าบูทยาง : มีทั้งแบบธรรมดาทั่วไปที่คุณเคยพบเห็นผลิตจากยางโพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) มีความยืดหยุ่นสูง ทนทาต่อสารเคมี ป้องกันน้ำ นิยมใช้กับงานเกษตรกรรม ชาวประมง อุทกภัย หรือพื้นที่เปียกชื้น นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบเสริมหัวเหล็กช่วยป้องกันการกระแทกเมื่อมีวัตถุตกหล่น ลดอาการบาดเจ็บ โดยจะทำจากวัสดุเดียวกัน แต่อาจเพิ่มคุณสมบัติเพื่อความทนทานต่อสารเคมี น้ำมัน กรด ด่าง เข้ามา ส่วนใหญ่มักนิยมใช้กับงานก่อสร้าง งานอุตสาหกรรม งานเกษตร งานประมง งานทำความสะอาด งานที่สัมผัสกับสารเคมี

            นอกจากนี้ รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะที่เราคุ้นเคย บางคนอาจมองว่าก็เป็นประเภทรองเท้าเหมือนกัน สามารถสวมใส่ได้เช่นกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วรองเท้าทั้ง 2 แบบ จัดเป็นรองเท้ามักจะใส่ในชีวิตประจำวันที่ใช้เพื่อช่วยปกป้องเท้าของเราไม่ให้สัมผัสกับสิ่งสกปรกที่พื้นโดยตรง ช่วยรองรับน้ำหนักเพื่อสุขภาพเท้าที่ดียามเดิน วิ่ง หรือกันลื่นเล็กน้อย ไม่ใช่รองเท้าเซฟตี้เสียทีเดียว เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยป้องกันสารเคมี ความร้อน ของตกใส่ กระแสไฟฟ้า ดังนั้น หากคุณจะเลือกรองเท้าที่ปกป้องเท้าคุณควรเลือกเป็นรองเท้าเซฟตี้เฉพาะทางข้างต้น ตามงานที่คุณทำหรือสภาพแวดล้อมที่คุณเผชิญบ่อยครั้งจึงจะเหมาะสมที่สุด


Visitors: 1,254,328