หมวกนิรภัย มีกี่ประเภท? เลือกให้ถูกกับงาน ปลอดภัยกว่า
หมวกนิรภัย มีกี่ประเภท? เลือกให้ถูกกับงาน ปลอดภัยกว่า
หมวกนิรภัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะในงานก่อสร้าง งานอุตสาหกรรม และงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ การเลือกหมวกนิรภัยให้เหมาะสมกับลักษณะงานไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องชีวิต แต่ยังเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานอีกด้วย
ประเภทของหมวกนิรภัยตามมาตรฐาน
หมวกนิรภัยแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและระดับการป้องกัน ดังนี้
1. แบ่งตามระดับการป้องกันแรงกระแทก
Type I (Top Protection)
- ออกแบบมาเพื่อป้องกันแรงกระแทกจากด้านบนของศีรษะ
- เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่มีความเสี่ยงจากวัตถุตกหล่นจากด้านบน
- เป็นประเภทที่พบเห็นได้มากที่สุดในไซต์งานก่อสร้าง
Type II (Top and Lateral Protection)
- ให้การป้องกันทั้งด้านบนและด้านข้างของศีรษะ
- มีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า สามารถรับแรงกระแทกจากหลายทิศทาง
- เหมาะสำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น งานในพื้นที่คับแคบ หรืองานที่อาจได้รับอันตรายจากด้านข้าง
2. แบ่งตามระดับการป้องกันไฟฟ้า
Class G (General) - เดิมคือ Class A
- ป้องกันไฟฟ้าแรงดันต่ำ สูงสุด 2,200 โวลต์
- เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่อาจมีความเสี่ยงจากไฟฟ้าในระดับต่ำ
Class E (Electrical) - เดิมคือ Class B
- ป้องกันไฟฟ้าแรงดันสูง สูงสุด 20,000 โวลต์
- จำเป็นสำหรับงานไฟฟ้าหรืองานที่ใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูง
Class C (Conductive)
- ไม่มีการป้องกันไฟฟ้า ทำจากวัสดุนำไฟฟ้า
- เหมาะสำหรับงานที่ไม่มีความเสี่ยงจากไฟฟ้าเลย เช่น งานในโรงงานอาหาร
3. แบ่งตามสีและการใช้งาน (ตามแบบแผนทั่วไป)
แม้ไม่มีกฎตายตัว แต่หลายองค์กรใช้สีเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกหน้าที่:
- สีขาว - วิศวกร ผู้จัดการโครงการ ผู้ควบคุมงาน
- สีเหลือง - คนงานทั่วไป ผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม
- สีน้ำเงิน - ช่างเทคนิค ช่างไฟฟ้า
- สีเขียว - พนักงานใหม่ ผู้ตรวจสอบความปลอดภัย
- สีส้ม - ผู้เข้าชมพื้นที่ ผู้รับเหมาช่วง
- สีแดง - พนักงานดับเพลิง หัวหน้างานความปลอดภัย
พิจารณาจากลักษณะงาน
- งานก่อสร้างทั่วไป - เลือก Type I, Class G เพียงพอ
- งานไฟฟ้าแรงสูง - ต้องใช้ Class E เท่านั้น
- งานในพื้นที่คับแคบ - ควรเลือก Type II เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- งานกลางแจ้งแดดจัด - เลือกแบบที่มีปีกกว้างหรือสีสะท้อนแสง
- งานที่ต้องการการมองเห็น - เลือกสีสะดุดตาหรือมีแถบสะท้อนแสง
ตรวจสอบมาตรฐาน
หมวกนิรภัยที่ใช้งานในประเทศไทยควรมีมาตรฐาน:
- มอก. 368 (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย)
- ANSI Z89.1 (มาตรฐานอเมริกัน)
- EN 397 (มาตรฐานยุโรป)
ความพอดีและความสะดวกสบาย
- ปรับขนาดให้พอดีกับศีรษะ ไม่หลวมหรือคับเกินไป
- ระบบสายรัดต้องปรับได้และไม่บีบคอ
- น้ำหนักเบา สวมใส่สะดวกสบายตลอดวัน
- มีช่องระบายอากาศเพื่อลดความร้อน
- เพื่อให้หมวกนิรภัยคงประสิทธิภาพการป้องกันอันตราย ควร:
- ตรวจสอบก่อนใช้ทุกครั้ง - มีรอยร้าว รอยแตก หรือการเสื่อมสภาพหรือไม่
- ทำความสะอาดเป็นประจำ - ใช้น้ำและสะอบอ่อน ไม่ใช้ตัวทำละลาย
- เก็บในที่เหมาะสม - หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและความร้อนสูง
- เปลี่ยนทุก 3-5 ปี - หรือทันทีหากได้รับแรงกระแทกรุนแรง
- ไม่ดัดแปลง - ไม่เจาะรู ทาสี หรือติดสติกเกอร์ที่อาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอ
สรุป
การเลือกหมวกนิรภัยให้เหมาะสมกับลักษณะงานเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหมวกที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ปกป้องชีวิตและป้องกันการบาดเจ็บร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำงานและเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานอีกด้วย
จำไว้ว่า "หมวกนิรภัยที่ดีที่สุด คือหมวกที่คุณสวมใส่" ดังนั้นเลือกให้ถูกต้อง สวมใส่ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของคุณและทีมงาน






