หน้ากากนิรภัยมีกี่ประเภท? เลือกให้เหมาะกับงานของคุณ

หน้ากากนิรภัยมีกี่ประเภท? เลือกให้เหมาะกับงานของคุณ
หน้ากากนิรภัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องระบบทางเดินหายใจและใบหน้าจากฝุ่น ละออง ควัน ไอระเหย สารเคมี และอันตรายอื่นๆ ในสถานที่ทำงาน การเลือกหน้ากากให้เหมาะสมกับลักษณะงานไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสุขภาพปอดและระบบหายใจ แต่ยังช่วยป้องกันโรคจากการทำงานในระยะยาวอีกด้วย
ประเภทของหน้ากากนิรภัยตามการใช้งาน
หน้ากากนิรภัยแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลักตามลักษณะการป้องกันและระดับอันตราย
1. หน้ากากกรองฝุ่น (Particulate Respirator)
N95, N99, N100
- กรองฝุ่นละอองที่ไม่มีน้ำมัน
- N95 กรองได้ 95%, N99 กรองได้ 99%, N100 กรองได้ 99.97%
- เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง งานเจียร งานตัด งานทำความสะอาด
- ไม่ป้องกันไอน้ำมันหรือสารเคมี
P95, P99, P100
- กรองฝุ่นละอองทั้งแบบแห้งและน้ำมัน (Oil Proof)
- P100 ให้การป้องกันสูงสุด 99.97%
- เหมาะสำหรับงานพ่นสี งานที่มีละอองน้ำมัน
- ใช้งานได้ยาวนานกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำมัน
R95, R99, R100
- ป้องกันฝุ่นและน้ำมันได้ระดับหนึ่ง (Oil Resistant)
- ใช้งานได้จำกัดในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำมัน (ไม่เกิน 8 ชั่วโมง)
- เหมาะสำหรับงานที่มีน้ำมันปริมาณน้อย

2. หน้ากากครึ่งหน้า (Half-Face Respirator)
ลักษณะและการใช้งาน
- ปกคลุมจมูกและปากจนถึงใต้คาง
- มีตลับกรองที่เปลี่ยนได้ตามชนิดสารอันตราย
- ป้องกันสารเคมี ก๊าซ ไอระเหย และฝุ่นละออง
- ต้องผ่านการ Fit Test เพื่อความแน่นสนิท
ตลับกรองตามสี
- สีน้ำตาล - ไอระเหยของสารอินทรีย์ (Organic Vapor)
- สีเหลือง - กรดและก๊าซที่เป็นกรด
- สีเขียว - แอมโมเนีย
- สีม่วง - กรองฝุ่นและฝุ่นละอองขนาดเล็ก
- สีดำ - ไอระเหยของสารอินทรีย์ชนิดพิเศษ
- ตลับผสม - ป้องกันหลายชนิด เช่น ไอระเหยและฝุ่น

3. หน้ากากเต็มหน้า (Full-Face Respirator)
คุณสมบัติเด่น
- ปกคลุมทั้งใบหน้าตั้งแต่หน้าผากถึงใต้คาง
- ป้องกันทั้งระบบหายใจและดวงตา
- มีกระจกใสให้มองเห็นชัดเจน บางรุ่นกันฝ้า
- ใช้กับตลับกรองเดียวกับแบบครึ่งหน้า แต่ให้การป้องกันที่สูงกว่า
เหมาะสำหรับ
- งานที่มีความเข้มข้นของสารอันตรายสูง
- งานฉีดพ่นสารเคมี
- งานที่ต้องป้องกันทั้งตาและระบบหายใจ
- งานในพื้นที่มีควันพิษหรือก๊าซพิษ

4. หน้ากาก PAPR (Powered Air-Purifying Respirator)
ระบบการทำงาน
- มีพัดลมไฟฟ้าช่วยดูดอากาศผ่านตลับกรอง
- ส่งอากาศสะอาดเข้าสู่หน้ากากด้วยแรงดันบวก
- สวมใส่สะดวกสบายกว่า หายใจได้เบากว่า
- เหมาะสำหรับการทำงานระยะยาว
ข้อดี
- ลดแรงต้านในการหายใจ
- เหมาะกับผู้ที่มีหนวด เครา หรือใบหน้าไม่เรียบ
- ให้การป้องกันระดับสูง
- ลดความเมื่อยล้าในการทำงานยาวๆ

5. หน้ากากส่งอากาศ (Supplied-Air Respirator - SAR)
ระบบส่งอากาศ
- รับอากาศสะอาดจากแหล่งภายนอกผ่านสายยาง
- ไม่พึ่งพาอากาศในบริเวณทำงาน
- ใช้กับงานที่อากาศไม่เพียงพอหรือมีพิษสูงมาก
ประเภท
- Airline Respirator - ต่อสายจากคอมเพรสเซอร์
- SCBA (Self-Contained Breathing Apparatus) - ถังอากาศแบบพกพา เหมาะสำหรับงานดับเพลิง งานกู้ภัย

6. หน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield)
การใช้งาน
- ป้องกันสาดกระเด็นของสารเคมี ของเหลว ชิ้นส่วนที่กระเด็น
- ไม่ป้องกันระบบทางเดินหายใจ
- ต้องใช้ร่วมกับหน้ากากกรองฝุ่นหากมีฝุ่นละออง
ชนิดตามการใช้งาน
- Face Shield ทั่วไป - ป้องกันสารเคมีสาดกระเด็น
- Face Shield งานเชื่อม - กรองแสง UV และความร้อน
- Face Shield กันกระแทก - ใช้กับงานที่มีเศษวัสดุกระเด็น

ขั้นตอนที่ 1: ประเมินความเสี่ยงในสถานที่ทำงาน
ระบุประเภทอันตราย
- ฝุ่นละออง → N95, N99, P100
- สารเคมีระเหย → หน้ากากครึ่งหน้า/เต็มหน้า + ตลับกรองเหมาะสม
- ก๊าซพิษ → หน้ากากเต็มหน้า + ตลับกรองพิเศษ
- ออกซิเจนต่ำ → SAR หรือ SCBA เท่านั้น
วัดระดับความเข้มข้น
- เปรียบเทียบกับค่า PEL (Permissible Exposure Limit)
- เลือกระดับการป้องกันตาม APF (Assigned Protection Factor)
ขั้นตอนที่ 2: พิจารณาลักษณะงาน
ระยะเวลาการใช้งาน
- งานสั้น (< 2 ชม.) → หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้งได้
- งานยาว (ทั้งวัน) → หน้ากากแบบมีตลับกรองหรือ PAPR
- งานหนัก → PAPR หรือ SAR เพื่อลดแรงต้านหายใจ
สภาพแวดล้อม
- พื้นที่กลางแจ้งแดดจัด → เลือกวัสดุทนความร้อน
- พื้นที่อับชื้น → เลือกรุ่นกันฝ้า มีวาล์วหายใจออก
- พื้นที่อันตราย → ระดับการป้องกันสูงสุด
ขั้นตอนที่ 3: ทดสอบความพอดี (Fit Test)
การทดสอบเชิงคุณภาพ (Qualitative)
- ใช้สารทดสอบ เช่น สารที่มีกลิ่นหวาน หรือขม
- ตรวจสอบว่ารับรู้กลิ่นหรือไม่
การทดสอบเชิงปริมาณ (Quantitative)
- ใช้เครื่องมือวัดการรั่วไหลของอากาศ
- ได้ผลเป็นตัวเลข Fit Factor แม่นยำกว่า

มาตรฐานสากลที่ควรรู้จัก
NIOSH (National Institute for Occupational Safety and Health)
- มาตรฐานของสหรัฐอเมริกา
- แบ่งตามประสิทธิภาพการกรอง N, R, P และเปอร์เซ็นต์ 95, 99, 100
EN (European Norm)
- มาตรฐานของยุโรป
- แบ่งเป็น FFP1, FFP2, FFP3
มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม)
- มาตรฐานของประเทศไทย
- มอก. 520 สำหรับหน้ากากกรองฝุ่น
ตารางเปรียบเทียบมาตรฐาน

การดูแลรักษาหน้ากากนิรภัย
หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้ง
- ใช้ได้ครั้งเดียว หากสกปรกหรือชื้น ต้องเปลี่ยนทันที
- เก็บในถุงสะอาด เมื่อไม่ได้ใช้ชั่วคราว
- ห้ามล้าง เพราะจะทำลายประสิทธิภาพการกรอง
- ทิ้งอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะหากมีสารพิษ
หน้ากากแบบมีตลับกรอง
การทำความสะอาด
- ล้างด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อน ไม่ใช้ตัวทำละลาย
- เช็ดแห้งด้วยผ้าสะอาดหรือลมเป่า
- ทำความสะอาดหลังใช้งานทุกครั้ง
การเก็บรักษา
- เก็บในถุงหรือกล่องปิดสนิท
- เก็บในที่แห้ง เย็น ไม่โดนแสงแดด
- แยกเก็บจากสารเคมี
การเปลี่ยนตลับกรอง
- เปลี่ยนเมื่อรู้สึกหายใจลำบาก
- เปลี่ยนเมื่อรับกลิ่นหรือรสสารเคมี
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิต (โดยทั่วไป 6-12 เดือน)
สัญญาณที่ต้องเปลี่ยนหน้ากาก
- สายรัดยืด หลวม ขาด
- ชิ้นส่วนพลาสติกแตกร้าว
- วาล์วชำรุด
- ยางรอบขอบแข็งหรือฉีกขาด
- กระจกขีดข่วน มองไม่ชัด (สำหรับหน้ากากเต็มหน้า)
ข้อผิดพลาดที่ควรห่างเลี่ยง
ข้อผิดพลาดยอดฮิต
- ไม่ Fit Test - ส่งผลให้อากาศรั่วเข้า ไม่ปลอดภัย
- ใช้ไม่ตรงประเภท - เช่น ใช้ N95 กับไอระเหยสารเคมี
- ไม่เปลี่ยนตลับกรองตามกำหนด - ทำให้ป้องกันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- สวมใส่ไม่ถูกวิธี - เช่น ปรับสายรัดหลวมเกินไป มีช่องว่างรั่ว
- ใช้ต่อเนื่องจนเกินไป - โดยไม่พักหรือเปลี่ยนหน้ากาก
- มีหนวดเครา - ทำให้หน้ากากไม่แนบสนิท
- ใส่แว่นตาทับหน้ากาก - ขาแว่นทำให้รั่ว ควรใช้แว่นที่ออกแบบพิเศษ
สรุป
การเลือกหน้ากากนิรภัยให้เหมาะสมกับงานเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจในสภาพแวดล้อมการทำงาน ไม่ใช่แค่เลือกแบบที่ถูกที่สุดหรือง่ายที่สุด แต่ต้องเลือกแบบที่ให้การป้องกันที่เหมาะสม ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด และสามารถใช้งานได้สะดวกสบาย การลงทุนในหน้ากากนิรภัยที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับงาน เท่ากับการลงทุนในสุขภาพระยะยาวของคุณและทีมงาน อย่าลืมว่าปอดที่เสียไปแล้วไม่สามารถฟื้นฟูได้ ดังนั้นการป้องกันตั้งแต่วันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณทำได้

